การเป็นนักพูดที่ดีนั้น นอกจากจะคำนึงถึงความรู้พื้นฐานของการพูดแล้ว ยังต้องศึกษาเกี่ยวกับประเภทของการพูดประกอบด้วย ทั้งนี้เพราะการเรียนรู้ในเรื่องดังกล่าวจะช่วยให้ผู้พูดเข้าใจถึงลักษณะของการพูด สามารถกำหนดจุดมุ่งหมาย รวมทั้งสามารถเลือกใช้วิธีการพูดได้อย่างเหมาะสม ประเภทของการพูด แบ่งได้ 4 ลักษณะ ดังนี้
1. แบ่งตามลักษณะการพูด
2. แบ่งตามโอกาสการพูด
3. แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด
4. แบ่งตามวิธีการพูด
แบ่งตามลักษณะการพูด
การพูดแบ่งตามลักษณะได้ 2 ลักษณะ ดังนี้
1. การพูดเดี่ยว
การพูดเดี่ยว หมายถึง การพูดที่มีผู้พูดเพียงคนเดียว อาจพูดในห้องเรียน ในที่ประชุมหรือในที่ชุมชนก็ได้ สำหรับเรื่องที่จะนำมาพูดอาจได้มาจากเหตุการณ์หรือประสบการณ์ของตนเองจากเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมา จากการอ่าน จากการศึกษาค้นคว้าจากการซักถาม หรือจากสิ่งที่มีผู้เล่าให้ฟัง เป็นต้น การพูดเดี่ยวที่นิยมกันอยู่ในสังคมปัจจุบันมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป เช่น การพูดบรรยาย หรือปาฐกถา การกล่าวรายงาน การกล่าวคำปราศรัย การพูดให้โอวาท การพูดในฐานะโฆษก หรือพิธีกร หรือการพูดวิจารณ์ เป็นต้น
จุดมุ่งหมาย การพูดเดี่ยวมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ความเพลิดเพลินหรือเพื่อเผยแพร่วิทยาการใหม่ๆที่ก้าวหน้า
2. การพูดกลุ่ม
การพูดกลุ่ม หมายถึง การพูดที่มีผู้พูดหลายๆคนมาร่วมกันแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่พูด ในการพูดกลุ่มผู้พูดส่วนใหญ่จะมีประสบการณ์และมีความเชียวชาญในการพูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดร่วมกับผู้อื่นหรือการพูดเป็นทีม ซึ่งต้องอาศัยหลักจิตวิทยาและมนุษย์สัมพันธ์เป็นส่วนประกอบการูดกลุ่มซึ่งเป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน ได้แก่ การสนทนา การสัมภาษณ์ การอภิปรายการประชุมหรือการโต้วาที เป็นต้น
จุดมุ่งหมาย การพูดกลุ่มมีจุดมุ่งหมายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา หรืหาแนวทางปฏิบัติ
แบ่งตามโอกาสพูด
การพูดมีหลายโอกาส แต่สามารถจัดโอกาสของการพูดได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. การพูดอย่างเป็นทางการ
การพูดอย่างเป็นทางการ หมายถึง การพูดที่เป็นกิจจะลักษณะและเป็นพิธีการผู้พูดต้องยึดถือและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การพูด เช่น การปาฐกถา การบรรยาย การอภิปราย การสัมภาษณ์ หรือการประชุม เป็นต้น การพูดอย่างเป็นทางการอาจมีทั้งพูดเดี่ยวและพูดกลุ่ม ซึ่งมีจำนวนผู้ฟังตั้งแต่กลุ่มย่อยๆไปจนถึงการพูดในที่ชุมชน ดังนั้นการพูดในลักษณะนี้ผู้พูดจะต้องรู้จักหลักการในการพูด เพื่อการแสดงออกที่เหมาะสม
หลักการพูดอย่างเป็นทางการ
1.ขั้นวิเคราะห์ ผู้พูดต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับผู้ฟัง โอกาส เวลาและสถานที่ก่อนการพุด วิเคราะห์ผู้ฟังเกี่ยวกับ เพศ การศึกษา อาชีพ จำนวน หรือสิ่งที่ผู้ฟังสนใจ รวมทั้งต้องพิจารณาถึงโอกาสที่พูดว่าได้รับเชิญให้ไปพุดในโอกาสใด ช่วงเวลาใด หรือไปพูด ณ สถานที่ใด เป็นต้น
2 .การเตรียมเนื้อหา การพูดทุกครั้ง ผู้พูดจำเป็นต้องคิดเตรียมเนื้อหา เพื่อให้การพูด นั้นๆเกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
3. การเตรียมด้านภาษา การพูดต้องใช้ทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาประกอบกัน ซึ่งมีแนวทางการใช้ดังนี้
3.1 การใช้วัจนภาษา ผู้พูดควรต้องถ้อยคำที่สั้นและตรงตามความ มีชีวิตชีวา
เหมาะกับผู้ฟัง สาระและโอกาส มีความสุภาพเป็นกันเองและเหมาะกับบุคลิกของผู้พูด
3.2 การใช้อวัจนภาษา ผู้พูดควรต้องกวาดสายตามองผู้ฟังให้ทั่วถึงรู้จักใช้เสียงและแสดงสีหน้าให้สอดคล้องกับเรื่องราวที่พูด มีท่าทางประกอบการพูดพอเหมาะ คำนึงถึงเวลาที่ใช้พูด รวมทั้งต้องระมัดระวังถึงบุคลิกภาพ เช่น การแต่งกายให้เหมาะกับสถานที่และโอกาสที่พูดเป็นต้น
4. การเตรียมการพูด การพูดต่อผู้ฟังจำนวนมากผู้พูดมักจะเกิดความเครียดและความประหม่า เช่น พูดไม่ออก หรือพูดผิดๆถูกๆ เป็นต้น พฤติกรรมดังกล่าวเป็นลักษณะของการตื่นเวทีซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับผู้พูดแทบทุกคนโดยเฉพาะนักพูดที่เริ่มขึ้นเวทีเป็นครั้งแรก การเตรียมตัวและการฝึกฝนการพูดจะสามารถช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้ โดยที่ผู้พูดต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักเสริมคุณธรรมในการพูด คือ มี่สติในขณะที่พูด มีเจตนาที่สุจริต และมีความจริงในการพูด รวมทั้งมีการฝึกฝนการใช้ภาษาที่ถูกต้อง ชัดเจน เหมาะกับสถานการณ์ที่จะพูด
4.1 การเตรียมการพูดให้เหมาะกับสถานการณ์ ในการพูดผู้พูดอาจประสบปัญหาต่างๆ มากมายในขณะที่พูด เช่น เกิดอาการประหม่า ผู้ฟังไม่สนใจหรือบรรยากาศในการพูดมีความเครียดหรือเงียบจนเกินไป เป็นต้นปัญหาดังกล่าวนี้ผู้พูดที่มีประสบการณ์อาจหาแนวทางแก้ไขได้ไม่ยากนักสำหรับผู้ที่เริ่มต้นเป็นนักพูดควรมีการเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ นอกเหนือจากการปรับการพูดให้เข้ากับโอกาสและสถานการณ์ในขณะที่กำลังพูดอยู่ เช่น ถ้าจะพูดเรื่องที่เป็นความรู้เป็นวิชาการ ต้องพูดให้ช้ากว่าปกติเล็กน้อย การพูดโน้มน้าวใจ ต้องพูดให้ผู้ฟังรู้สึกถึงความเป็นกันเองของผู้พูด หรือการพูดสดุดีต้องพูดให้เคร่งขรึมสง่างาม เป็นต้น
2. การพูดอย่างไม่เป็นทางการ
การพูดอย่างไม่เป็นทางการ หมายถึง การพูดที่ไม่มีพิธีรีตอง เนื่องจากผู้พูดกับผู้ฟังมีความคุ้นเคยต่อกันจึงไม่พิถีพิถันกับรูปแบบของการพูดมากนัก เช่น การสนทนา การทักทายปราศรัย การปรึกษาหารือในระหว่างเพื่อนฝูง เป็นต้น อย่างไรก็ตามแม้การพูดอย่างไม่เป็นทางการจะไม่พิถีพิถันกับรูปแบบ แต่การพูดในลักษณะดังกล่าวมีสิ่งที่ต้องคำนึงและควรปฏิบัติให้ถูกต้อง ดังนี้
1. ผู้พูดต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการพูด เช่น ต้องการแจ้งให้ทราบ ต้องการ
ให้ความรู้ หรือต้องการให้แสดงความคิดเห็น
2. ต้องคำนึงถึงกิริยามารยาทในการสื่อสาร เช่น กิริยามารยาทที่พึงแสดงต่อเพื่อน
ต่อครูบาอาจารย์ ต่อบิดามารดา หรือต่อผู้อาวุโส เป็นต้น
3. ภาษาที่ใช้พูดต้องมีความชัดเจนและมีความเหมาะสมกับผู้ฟัง เช่น พูดกับ
เพื่อน พูดกับบิดามารดา หรือพระภิกษุ ควรใช้ภาษาพูดที่แตกต่างกัน
4. ต้องรู้จักกาลเทศะในการพูด เช่น รู้ว่าเวลาใดควรไม่ควรพูดหรืออยู่ในสถานที่
เช่นไรควรพูดอย่างไร เป็นต้น
แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด
ความสำเร็จในการพูดจะเกิดขึ้นได้นั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งนั้นคือผู้พูดจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายของการพูดให้ชัดเจนจุดมุ่งหมายของการพูดแบ่งได้ 2 ประการ คือ
1. จุดมุ่งหมายทั่วไป (General Purpose)
จุดมุ่งหมายทั่วไปของการพูดนั้น หมายรวมถึงพูดเพื่อให้ความรู้ชักจูงใจให้ทราบข้อเท็จจริง กระตุ้นหรือสร้างความประทับใจตักเตือนหรือให้โอวาท หรือการพูดเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเป็นต้น อย่างไรก็ตามหากจัดประเภทของความมุ่งหมายทั่วไปของการพูดเป็นประเภทใหญ่ๆแล้วจะได้ 5 ประเภท ดังนี้
1.1 การพูดเพื่อให้ความรู้
1.2 การพูดเพื่อเกลี้ยกล่อมหรือจูงใจ
1.3 การพูดเพื่อกระตุ้นหรือสร้างประทับใจ
1.4 การพูดเพื่อเรียกร้องความสนใจ
1.5 การพูดเพื่อให้เกิดความบันเทิง
2. จุดมุ่งหมายเฉพาะของการพูด (Specific Purpose)
โดยปกติการพูดที่ดีจะมีจุดมุ่งหมายเฉพาะ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ผู้พูดต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้ฟังในแต่ละเรื่องแต่ละประเภทที่พูด ตัวอย่างเช่น พูดจูงใจให้ซื้อสินค้า หรือพูดเกลี้ยกล่อมคนร้ายให้ปล่อยตัวประกัน แม้จะเป็นการพูดเพื่อจูงใจหรอเกลี้ยกล่อมเหมือนกันแต่จุดมุ่งหมายของการพูดแต่ละครั้งแตกต่างกัน
แบ่งการวิธีการพูด
การพูดแบ่งตามวิธีการที่นำเสนอได้ 4 วิธี ดังนี้
1. การพูดแบบกะทันหัน
2. การพูดแบบท่องจำ
3. การพูดแบบอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ
4. การพูดจากความเข้าใจหรือจดเฉพาะหัวข้อ
ประเภทของการพูดแบ่งออกได้หลายลักษณะ ซึ่งแต่ละลักษณะก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลและความจำเป็นของการพูดเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตามการแบ่งประเภทของการพูดโดยทั่วไปมักแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ คือ แบ่งตามลักษณะของการพูด แบ่งตามโอกาสที่พูด แบ่งตามจุดมุ่งหมายของการพูด และแบ่งตามวิธีการพูด การได้เรียนรู้หลักเกณฑ์ของการพูดในแต่ละประเภทจะช่วยให้ผู้พูดสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของการพูดได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งมีโอกาสได้เตรียมความพร้อมก่อนถึงเวลาพูดด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น